การเรียน “ภาพยนตร์” นั้น เป็นเหมือนศิลปะแขนงหนึ่ง ที่ใครหลาย ๆ คนในประเทศไทย ยังไม่ค่อยรับรู้ถึงความซับซ้อน ความสำคัญ เเละมีการศึกษาที่มีความลึกซึ้ง เมื่อเรามองในสถานะของผู้ชมเราอาจจะมองว่าภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ง่าย เเละดูไม่มีสาระสำคัญเท่ากับศาสตร์ในแขนงอื่น เพียงเพราะดูให้ความบันเทิง ความสนุกเเละความสะใจ เเต่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งที่เราเรียนกว่าภาพยนตร์นั้น ยังซ่อนความน่าหลงไหล ความน่าค้นหา เเละความพิเศษไว้อีกมากมาย
ภาพยนตร์ เป็นศิลปะประเภทหนึ่ง ไม่เเตกต่างไปจากดนตรี จิตรกรรม หรือภาพวาด เพียงเเต่มีกล้อง ที่เป็นเหมือนพู่กัน มีไฟเป็นสี เเละมีแผ่นฟิล์มเป็นเหมือนกระดานเเคนวาส ที่พร้อมจะให้เราเล่าถึงจินตนาการที่ยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล หรือเรื่องส่วนตัวที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวเราเองก็ได้ เช่นนั้นการเรียนภาพยนตร์ เป็นเหมือนการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ในแบบประยุกต์ ที่สอดแทรกกระบวนการ เเละเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการสื่อสาร และการเล่าเรื่อง
จากสิ่งที่กล่าวมาอาจพูดได้ว่า ภาพยนตร์นั้นเป็นเหมือนหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ เเละท้องตลาด ในหลากหลายแง่มุมยิ่งโดยเฉพาะในปัจจุบันที่สื่อมีอิทธิพลต่อผู้คนมากขึ้นกว่าในยุคก่อน เช่นนั้นการเรียนภาพยนตร์ หรือการทำความเข้าใจในสื่อต่าง ๆ จึงมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากการเรียนรู้นั้นทำให้เราเข้าใจวิธีการทำงาน การใช้งาน เครื่องมือ ที่เรียกว่า “Media” ซึ่งในปัจจุบันการเรียนก็มีความเฉพาะด้านมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความสนใจ ของนักเรียน และนักศึกษา
การเรียนรู้ภาพยนตร์ จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของผู้ที่สนใจในการทำสื่อ เพราะภาพยนตร์เป็นสื่อที่มีพลังในการเปลี่ยนเเปลง มีพลังในการเล่าเรื่องของอดีต ทั้งเรื่องที่ตั้งคำถามกับปัจจุบัน เเละจินตนาการถึงอนาคตที่จะมาถึง เช่นนั้นเเล้วการเรียนภาพยนตร์ จนเป็นเหมือนการศึกษาประวัติศาสตร์ ตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว เเละถ่ายถอดออกมาด้วยบทกวี คือที่เราเรียนว่า “ภาพยนตร์”
“ การเรียนรู้ภาพยนตร์ พัฒนาให้มุมมองของตัวเรานั้นเปลี่ยนไปให้เรามองเห็น เเละตั้งคำถามต่อสิ่งที่อยู่รอบตัว
ทั้งสังคม การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา รวมถึงตัวตนของตัวเราเองด้วย ”
Written by Pipe, Perfoming Arts Supervisor, OpenSchool
Edited by Lookpalm Integrated Marketing Communication